ขายยังไงให้ได้กำไรตลอด? คำแนะนำ เริ่มต้นขายสินค้า Shopee Lazada และ Super app อื่นๆ
Table of Contents

เริ่มต้นขายสินค้า ด้วยการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ
การเลือกแพลตฟอร์ม E-commerce และการตลาดดิจิทัลต้องพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับลักษณะของธุรกิจ นี่คือการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของ Lazada, Shopee, LINE และ TikTok
Lazada และ Shopee: สำหรับธุรกิจ E-commerce
กลุ่มเป้าหมายหลัก
ผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกสบาย
- คนที่ต้องการสินค้าออนไลน์พร้อมบริการจัดส่งถึงบ้าน
- ผู้ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งในราคาประหยัดและแคมเปญส่วนลด
คนรุ่นใหม่ (อายุ 18-35 ปี)
- กลุ่มวัยทำงานและนักศึกษา ที่มองหาสินค้าแฟชั่น, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, และไลฟ์สไตล์
- ใช้งานแพลตฟอร์มที่มีการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลและโปรโมชั่นในแอป
แม่บ้านและครอบครัว
- กลุ่มที่มองหาสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ของใช้ในบ้าน, ของเล่นเด็ก, และสินค้าอาหาร
นักช้อปแคมเปญและโปรโมชัน
- กลุ่มที่มองหาสินค้าในช่วง Flash Sale, 11.11, 12.12 ที่ช่วยให้ได้ราคาพิเศษ
พฤติกรรมผู้ใช้งาน
- ใช้ฟีเจอร์การค้นหาและเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ
- ชอบรีวิวสินค้าและความน่าเชื่อถือของร้านค้า เช่น LazMall หรือ Shopee Mall
- ให้ความสำคัญกับระบบจัดส่งรวดเร็ว เช่น Same-Day Delivery
LINE และ TikTok: สำหรับธุรกิจการตลาดและสร้างปฏิสัมพันธ์
LINE: กลุ่มเป้าหมายหลัก
ธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงคนทุกวัย
- LINE เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุ
- กลุ่มเป้าหมายหลากหลาย เช่น ลูกค้าที่ใช้แชท, LINE Official Account, และบริการเสริม
นักช้อปที่ให้ความสำคัญกับการพูดคุยโดยตรง
- กลุ่มที่ชอบติดต่อร้านค้าผ่านแชทเพื่อสอบถามข้อมูลก่อนซื้อ
ธุรกิจท้องถิ่นและ SMEs
- ใช้ LINE ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างร้านค้าและลูกค้า เช่น การส่งโปรโมชันส่วนตัว
พฤติกรรมผู้ใช้งาน
- ใช้ LINE ในการรับข่าวสารและโปรโมชันจากธุรกิจ
- ชอบแคมเปญ Loyalty Program เช่น ระบบสะสมแต้ม
TikTok
กลุ่มเป้าหมายหลัก
คนรุ่นใหม่และ Gen Z (อายุ 15-30 ปี)
- กลุ่มที่ชื่นชอบคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่สนุกสนานและอินเทรนด์
- ใช้แพลตฟอร์มในการค้นหาแรงบันดาลใจ เช่น สินค้าแฟชั่น, เครื่องสำอาง, และไลฟ์สไตล์
นักช้อปสายบันเทิง
- กลุ่มที่ตัดสินใจซื้อสินค้าจากการไลฟ์สด หรือวิดีโอรีวิวที่มีความสร้างสรรค์
อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์
- ผู้ที่ใช้ TikTok เพื่อโปรโมตสินค้าและสร้างเนื้อหาเพื่อดึงดูดลูกค้า
พฤติกรรมผู้ใช้งาน
- ชอบเนื้อหาสั้นที่ให้ความบันเทิงและเนื้อหาขายสินค้าที่ดูไม่ “ขายตรงเกินไป” หรือ Live เพื่อขายของไปเลย
- มักตัดสินใจซื้อสินค้าเมื่อเห็นโฆษณาในรูปแบบรีวิวหรือการใช้จริง
เริ่มต้นขายสินค้า ควรทำความเข้าใจกฎและค่าธรรมเนียม
Shopee
Shopee มีการปรับอัตราค่าคอมมิชชันตามประเภทของผู้ขายและหมวดหมู่สินค้าดังนี้
ผู้ขายทั่วไป (Non-Mall Sellers)
- สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics) 5%
- สินค้าที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ 4%
- สินค้าในหมวดแฟชั่น 6%
ร้านค้าใน Shopee Mall
- สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ 6%
- สินค้าที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ 5%
- สินค้าในหมวดแฟชั่น 6%
นอกจากนี้ Shopee ยังมีค่าธรรมเนียมการชำระเงิน (Payment Fee) ประมาณ 3% และค่าธรรมเนียมการเข้าร่วมโปรโมชันหรือแคมเปญต่าง ๆ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Lazada
Lazada ได้ปรับอัตราค่าคอมมิชชันใหม่ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2566 โดยแบ่งตามหมวดหมู่สินค้าดังนี้
Lazada ได้ปรับอัตราค่าคอมมิชชันใหม่ในปี 2024 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ผู้ขาย โดยมีรายละเอียดดังนี้
ผู้ขายทั่วไป (Non-Mall Sellers)
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics)
- เครื่องเสียง, อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล, เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก, สมาร์ทดีไวซ์ 7%
- กล้อง, โดรน, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ 5%
สินค้าแฟชั่น (Fashion)
- กระเป๋า, อุปกรณ์เดินทาง, รองเท้า ฯลฯ 8%
- เครื่องประดับแฟชั่น, เครื่องประดับมีมูลค่า, เครื่องประดับเพื่อการลงทุน 7%
- เครื่องประดับแฟชั่น, คอนแท็กต์เลนส์ 7%
- เครื่องประดับแฟชั่น กลุ่มอื่น ๆ 10%
สินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Goods)
- ของใช้ในบ้าน, ของตกแต่งบ้าน 9%
- อาหารและเครื่องดื่ม, ของใช้ประจำวัน 8%
หมวดหมู่อื่น ๆ (Others)
- สินค้าเพื่อสุขภาพ, อุปกรณ์กีฬา, อุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยง 7%
- หนังสือ, เครื่องดนตรี, งานศิลปะ 6%
ร้านค้าใน LazMall
- สินค้าแฟชั่น 10%-12%
- สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 5%-8%
- สินค้าอุปโภคบริโภค 8%-10%
นอกจากนี้ Lazada ยังมีค่าธรรมเนียมการชำระเงิน (Payment Fee) ประมาณ 3% และอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการเข้าร่วมโปรโมชันหรือแคมเปญต่าง ๆ
หมายเหตุ อัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามนโยบายของแต่ละแพลตฟอร์ม ผู้ขายควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์หรือประกาศของ Shopee และ Lazada เพื่อความถูกต้องและอัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ
การวางแผนราคาสินค้าเพื่อครอบคลุมต้นทุน กำไร และค่าธรรมเนียม (GP หรือ Gross Profit Margin)
1. วิเคราะห์ต้นทุนทั้งหมด
- ต้นทุนสินค้า (COGS) ราคาที่ได้จากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ รวมถึงค่าขนส่งถึงคลังสินค้า
- ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม (GP)
- เช่น Shopee 3%-6% และ Lazada 4%-7% ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้า
- ค่าชำระเงินเพิ่มเติม เช่น Payment Fee (ประมาณ 2%-3%)
- ค่าขนส่ง หากผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบ ต้องรวมเข้ากับต้นทุนสินค้า
- ค่าการตลาด ค่าบูสต์สินค้า, การเข้าร่วมแคมเปญ, และโฆษณาในแพลตฟอร์ม
- ต้นทุนอื่น ๆ ค่าแรง, ค่าสต็อกสินค้า, และค่าบริหารจัดการ
2. กำหนดกำไรที่เหมาะสม
- ตั้งกำไรสุทธิที่ต้องการ เช่น 20%-30% จากราคาขาย หลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
- หากต้องการปรับให้สามารถแข่งขันได้ อาจตั้งกำไรต่ำในช่วงโปรโมชัน แต่ต้องชดเชยด้วยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น
3. คำนวณราคาขายสินค้า
ใช้สูตรเพื่อหาขั้นต่ำของราคาขาย:
ราคาขายขั้นต่ำ = (ต้นทุนรวม ÷ (1 – ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม – เปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ))
ตัวอย่าง
- ต้นทุนสินค้า (รวมทุกอย่าง) = 200 บาท
- ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม = 7%
- เปอร์เซ็นต์กำไรที่ต้องการ = 20%
ราคาขายขั้นต่ำ = 200/(1−0.07−0.2) =285.71 บาท
ดังนั้นราคาขายควรตั้งไว้ที่ 290 บาท เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนและกำไร
4. วางแผนโปรโมชันพิเศษ
การเข้าร่วมแคมเปญหรือโปรโมชันเป็นโอกาสในการเพิ่มยอดขาย แต่ควรระวังไม่ให้กระทบต่อกำไรโดย
- เพิ่มราคาขายล่วงหน้า ตั้งราคาสินค้าให้สูงขึ้นเล็กน้อยก่อนแคมเปญ เพื่อให้ส่วนลดที่เสนอไม่กระทบกำไรสุทธิมากเกินไป
- ใช้โปรโมชันจัดส่งฟรี หากแพลตฟอร์มมีการสนับสนุนค่าขนส่งบางส่วน ควรใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้
- ปรับกำไรจากปริมาณการขาย แม้กำไรต่อชิ้นจะน้อยลง แต่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นอาจช่วยชดเชย
ตัวอย่างการวางแผนราคาในโปรโมชัน
- ราคาปกติ = 290 บาท
- ลดราคา 10% = 261 บาท
- หากต้องการรักษากำไรสุทธิ อาจพิจารณา
- ลดค่าใช้จ่ายอื่น (เช่น ค่าขนส่ง)
- เพิ่มยอดขายขั้นต่ำต่อวัน
5. ใช้เครื่องมือแพลตฟอร์มในการบริหารราคา
- Shopee Ads/Lazada Ads ช่วยเพิ่มการมองเห็นสินค้า
- Analytics Tools ใช้ข้อมูลวิเคราะห์ยอดขายและปรับราคาตามความต้องการของตลาด
- Campaign Manager เข้าร่วมแคมเปญที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
6. ติดตามผลและปรับปรุง
- ประเมินผลลัพธ์การขายในแคมเปญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
- วิเคราะห์ว่าส่วนลดหรือโปรโมชันช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรหรือไม่
- ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ราคาหรือแคมเปญให้เหมาะสม
ใช้ฟีเจอร์โปรโมชันบนแพลตฟอร์ม
- Super App มักมีฟีเจอร์ช่วยขาย เช่น
- Flash Sale โปรโมชันลดราคาแบบจำกัดเวลา
- Livestream Selling การขายสินค้าผ่านการไลฟ์สด
- โฆษณาภายในแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มการมองเห็นสินค้า
- เข้าร่วมแคมเปญพิเศษ เช่น 11.11, 12.12 ของ Lazada และ Shopee เพื่อเพิ่มยอดขาย
สร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจ , เพิ่มความน่าเชื่อถือพร้อมทั้งติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์
- ใช้ คอนเทนต์วิดีโอสั้น (เช่น บน TikTok หรือ LINE Ads) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้า
- ออกแบบแคมเปญที่สร้างความประทับใจ เช่น การรีวิวสินค้าโดยอินฟลูเอนเซอร์
- เปิดร้านค้าบน LazMall หรือ Shopee Mall เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นผู้ขายที่เชื่อถือได้
- ใช้รีวิวจากลูกค้าและการตอบกลับที่รวดเร็วเพื่อเพิ่มความไว้วางใจ
- ใช้ Dashboard Analytics ของ Super App ในการวิเคราะห์ข้อมูลยอดขาย, จำนวนผู้เข้าชม, และสินค้าขายดี
- ปรับปรุงสินค้าและบริการตามความต้องการของลูกค้า
เพิ่มการเชื่อมโยงช่องทางอื่นๆ, เน้นบริการหลังการขายที่โดดเด่นและพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
- โปรโมตร้านค้าหรือสินค้าบน Super App ผ่านช่องทางอื่น เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, และอีเมล
- สร้าง Omni-Channel Strategy เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมต่อกับธุรกิจได้ง่ายทุกช่องทาง
- ตอบคำถามและช่วยเหลือลูกค้าอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางแชทใน Super App
- ส่งสินค้าให้ตรงเวลาและสร้างประสบการณ์ที่ดีเพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
- ใช้ฟีเจอร์ Loyalty Program หรือระบบสะสมแต้มบน Super App เช่น LINE Rewards หรือ Shopee Coins เพื่อสร้างความจงรักภักดี
สรุป
การเข้าสู่ Super App ต้องเริ่มจากการวางแผนที่เหมาะสม เลือกแพลตฟอร์มที่ใช่ ใช้ฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ และเน้นการดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเติบโตในยุคดิจิทัล