ค่าแอด, ค่าโฆษณา
ทำไม!! ค่าโฆษณา เฟสบุ๊คแพง!!
Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อกับเพื่อน การแชร์ข้อมูล การ
ติดตามบุคคลสำคัญ หรือการใช้งานเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับทั้งเพื่อนหรือสื่อจากธุรกิจต่างๆ ซึ่งบริษัทหรือธุรกิจก็ใช้
Facebook เพื่อเป็นสื่อกลางในการสร้างสรรค์และสานความสัมพันธ์กับลูกค้าในในเวลานี้ ค่าโฆษณา หรือ ค่าแอด จึงจำเป็นมาก
ขณะเดียวกันฝั่งผู้ใช้เฟสบุ๊คอาจรู้สึกได้ว่ามักมีโฆษณา หรือ Sponser ขึ้นมาขั้นกลาง Feed ต่างๆอยู่บ่อยๆ และ
ฝั่งทางผู้ทำธุรกิจเองก็ได้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการโฆษณาบน Facebook ว่ามีราคาแพงมาก!!
บทความนี้จะมาพูดถึง "ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้ค่าโฆษณาบน Facebook แพงขึ้น" กันค่ะ
1. ความนิยมของ Facebook
ก่อนหน้านี้ Facebook ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากความสามารถในการเชื่อมต่อกับผู้คนและการแบ่งปันเนื้อหา
ดังนั้นมีจำนวนผู้ใช้งาน(หรือลูกค้า)ที่อยู่บนแพลตฟอร์มนี้มากมาย ทำให้โฆษณาบน Facebook ได้รับความสำคัญสูง ค่า
ใช้จ่ายในการโฆษณาจึงเพิ่มขึ้น
2. การแข่งขัน
การโฆษณาบน Facebook เป็นอีกหนึ่งวิธีการสื่อโฆษณาถึงผู้ซื้อที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นการแข่งขันกันอย่าง
เข้มข้นนี้ ทำให้การโฆษณาบน Facebook มีราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. การปรับขอบเขตการโฆษณา
Facebook มีการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของการโฆษณาอย่างต่อเนื่อง โดยทำการกำหนดขอบเขตในการโฆษณา
เช่น การเลือกกลุ่มเป้าหมาย การกำหนดแผนการตลาด และการใช้ข้อมูลสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโฆษณา แต่
การปรับปรุงนี้ก็ส่งผลต่อการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการโฆษณาบน Facebook
4. การวิเคราะห์และจัดการข้อมูล
การวิเคราะห์และจัดการข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่ Facebook ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโฆษณา แต่การดำเนินการ
ดังกล่าวก็มีอันต้องสะดุดลงจากการเก็บข้อมูลไม่ได้เนื่องจากข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ (เช่นจากฝั่ง Apple)
จึงต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อเฟสบุ๊คจะสามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลที่มีคุณภาพสูง
5. การปรับแต่งและการทดสอบ
การปรับแต่งและการทดสอบโฆษณาบน Facebook เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโฆษณา แต่
การดำเนินการดังกล่าวก็ต้องใช้เงินเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มค่าใช้จ่ายใน
การโฆษณาบน Facebook ค่าโฆษณาเฟสบุ๊ค จึงแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง(และไม่มีแนวโน้มจะลดลง T^T ) เนื่องจากมีการแข่งขันกันอย่าง
เข้มข้นในการติดตามกลุ่มเป้าหมาย และจากจำนวนผู้ที่ลงโฆษณาบนเฟสบุ๊คที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก การปรับปรุงประสิทธิภาพ
ของการโฆษณาก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้ต้องใช้เงินเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันให้สามารถแข่งกับสินค้าหรือ
บริการที่มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันอีกด้วย
รับมือกับ ค่าแอด Facebook ที่แพงขึ้น
การรับมือกับ ค่าแอด Facebook ที่แพงขึ้นเป็นสิ่งที่หลายธุรกิจต้องเผชิญและปรับตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุดจากการลงทุนในโฆษณาออนไลน์ ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้
1. เพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา (Optimize Ads)
- ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย ใช้ข้อมูลเชิงลึก (Insights) เพื่อกำหนดเป้าหมายให้แคบลงและตรงกับความสนใจหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องที่สุด หมายถึงการศึกษาความต้องการ ความสนใจ พฤติกรรม และลักษณะเฉพาะของผู้ที่แบรนด์ตั้งใจจะสื่อสารหรือขายสินค้าให้ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างกลยุทธ์ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งควรดำเนินตามกระบวนการในการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
- ทดสอบหลายเวอร์ชัน (A/B Testing) ลองใช้ข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอที่แตกต่างกันเพื่อดูว่าอะไรให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
- ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน กระตุ้นให้ผู้ชมทำตามเป้าหมาย เช่น การซื้อสินค้าหรือการลงทะเบียน
2. เพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement)
- เน้นเนื้อหาคุณภาพสูง โพสต์คอนเทนต์ที่มีคุณค่าและดึงดูดความสนใจ เช่น วิดีโอที่ให้ความรู้หรือเล่าเรื่องราวของแบรนด์
- สร้างชุมชน (Community Building) การสร้างชุมชน (Community Building) หมายถึงการสร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจหรือแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย หรือผู้ที่มีความสนใจร่วมกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ที่จริงใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความภักดี (loyalty) และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
- ข้อดีของการสร้างชุมชน เช่น สร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty), เพิ่มการมีส่วนร่วม (Engagement),สร้างการตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) เป็นต้น
- ใช้ UGC (User-Generated Content) กระตุ้นให้ลูกค้าแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณ
3. เพิ่มช่องทางการขาย (Diversify Sales Channels)
- โฆษณาบนแพลตฟอร์มอื่น สำรวจแพลตฟอร์มอื่น เช่น Instagram, TikTok, หรือ Google Ads ซึ่งอาจคุ้มค่ากว่าในบางกรณี
- ใช้กลยุทธ์ Organic Marketing เพิ่มการมองเห็นแบบธรรมชาติ เช่น การทำ SEO ผ่านเว็บไซต์ของคุณเองโดยมีข้อดีคือคุณสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อทำการตลาดต่อได้โดยไม่ถูกปิดกั้นจาก platform หรือการโปรโมตผ่านอีเมลมาร์เก็ตติ้ง
4. ลดต้นทุนต่อ Conversion
- ปรับเปลี่ยนแคมเปญแบบ Re-targeting เน้นกลุ่มลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์
- เพิ่ม Lead Magnet เสนอสิ่งที่ดึงดูด เช่น Ebook ฟรี หรือส่วนลด เพื่อสร้างฐานข้อมูลลูกค้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าในแต่ละธุรกิจ
5. เพิ่ม Lifetime Value ของลูกค้า
- Upselling และ Cross-selling นำเสนอสินค้าหรือบริการเพิ่มเติมที่เหมาะสมกับลูกค้าปัจจุบัน
- โปรแกรมสมาชิก (Loyalty Program) เพิ่มความผูกพันและกระตุ้นการซื้อซ้ำ
6. ตั้งงบประมาณอย่างชาญฉลาด
- จัดลำดับความสำคัญ โฟกัสกับกลุ่มเป้าหมายที่ให้ผลลัพธ์สูงสุด
- ปรับงบประมาณตามผลลัพธ์ ใช้ Budget Allocation โดยดูจาก ROI ของแต่ละแคมเปญ
7. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์
- Facebook Ads Manager ตรวจสอบผลลัพธ์ของโฆษณา เช่น CTR, CPC และ ROI
- Google Analytics ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์เพื่อวางแผนการปรับปรุงแผนพัฒนาธุรกิจ
ใครเหนื่อยกับการ #ยิงโฆษณา เฟสบุ๊คเองแล้วไม่ได้ผล
B GRAND MARKETING รับยิงโฆษณาให้คุณ ไม่ต้องปวดหัวกับคอนเทนท์ ปวดหัวกับการบริหารแอดให้มีประสิทธิภาพ
เราจัดการให้คุณเองค่ะ ด้วยประสบการยิงแอดมาแล้วมากมาย
เราเน้นผลลัพธ์ที่คุณจะได้ค่ะ>> ติดต่อเลย!
ไม่รู้เท่ากับติดลบ!! สิ่งที่มือใหม่ ยิงแอด จำเป็นต้องรู้
